วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประวัติ รถยต์RENAULT



     เรอโนลต์ เป็นรถยนต์นั่งของฝรั่งเศสอีกยี่ห้อหนึ่งที่คนไทยรู้จักกันดีโดยเฉพาะผู้ที่มีอายุตั้งแต่สี่สิบปีขึ้นไป เพราะเมื่อสามสิบปีก่อน รถแทกซี่เกือบทุกคันที่วิ่งรับส่งผู้โดยสารในกรุงเทพมหานครล้วนเป็นรถยี่ห้อนี้ทั้งสิ้น ที่จริงแล้วเรอโนลต์เป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่สำคัญที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส ประวัติศาสตร์ของผู้ผลิตรถยนต์รายนี้เริ่มต้นในปี 1898 เมื่อ หลุยส์ เรอโนลต์ (LOUIS RENAULT) ชาวฝรั่งเศส บุตรชายของพ่อค้าผ้าผู้มีอันจะกินได้ร่วมกับน้องชายสองคนคือ มาร์เชล และ เฟอร์นอง หลุยส์ ก่อตั้งกิจการผลิตรถยนต์ขึ้นในย่านบียองกูต์ ชานกรุงปารีสด้วยเงินทุนแค่ 40,000 ฟรองซ์ การทำงานอย่างทุ่มเทของสามพี่น้องทำให้กิจการที่ก่อตั้งขึ้นใหม่เติบโตอย่างรวดเร็ว คือภายใน 6 เดือน ก็สามารถผลิตรถเก๋งขนาดสองที่นั่งได้ถึง 60 คัน ในระยะแรก ๆ เรอโนลต์ผลิตรถยนต์โดยอาศัยเครื่องยนต์ของผู้ผลิตอีกรายคือ เดอ ดิออง (DE DION) จนกระทั่งปี 1902 เรอโนลต์จึงทำเครื่องยนต์ขึ้นเอง เป็นเครื่องยนต์ 4 สูบ ขนาด 6.3 ลิตรวาล์วข้าง และนับแต่นั้นกิจการก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว พอถึงปี 1913 เรอโนลต์ก็กลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส มีพนักงานถึง 3,936 คน และผลิตรถยนต์ออกจำหน่ายถึงปีละ 10,000 คัน

     ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง หลุยส์ เรอโนลต์ก็ได้พบกับคู่แข่งตัวฉกาจคือ อองเดร ซีตรอง (ANDRE CITROEN) ผู้ให้กำเนิดรถ ซีตรอง อันเลื่องชื่อเรอโนลต์สู้กับซีตรองแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน และผลลัพธ์ของการต่อสู้ครั้งนี้คือ ซีตรองแทบล้มละลายในขณะที่เรอโนลต์กลับเติบโตยิ่งขึ้นก่อนสงครามระเบิดโรงงาน เรอโนลต์ ในกรุงปารีสมีพนักงานกว่า 40,000 คน และผลิตรถได้ถึงวันละ 250 คัน หลังสงคราม หลุยส์ เรอโนลต์ ถูกกองทัพกู้ชาติของนายพลชาร์ล เดอโกล กล่าวหาว่าทรยศต่อชาติ โดยให้ความร่วมมือแก่กองทัพนาซีที่เข้ายึดครองฝรั่งเศสเขาติดคุกเพียงหนึ่งเดือนแล้วก็เป็นอิสระหลังจากพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้เป็นดังที่ถูกกล่าวหา อย่างไรก็ตามกิจการผลิตรถเรอโนลต์ที่หลุยส์ เรอโนลต์ถือหุ้นอยู่ถึงร้อยละ 98 ถูกยึดเป็นสมบัติของรัฐ ไม่กี่เดือนหลังจากนั้นคือในวันที่ 24 ตุลาคม 1944 หลุยส์ เรอโนลต์ก็จากโลกด้วยความระทมใจ ปัจจุบัน เรอโนลต์ยังมีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจผู้ผลิตรถยนต์ของรัฐบาลฝรั่งเศส และเป็นคู่แข่งขันรายสำคัญของกลุ่มเปอโยต์/ซีตรอง ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์เอกชน ในรอบปี 1990 เรอโนลต์เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่ทำยอดขายสูงสุดอันดับ 9 ของโลก คือทำยอดขายได้รวมทั้งสิ้นประมาณ 780,000 ล้านบาท จากยอดขายรถยนต์นั่ง รถตู้ รถบรรทุกเล็ก และรถประเภทอื่น ๆ รวมทั้งสิ้น 1,871,032 คัน รถยนต์นั่งที่เรอโนลต์ผลิตออกจำหน่ายในปัจจุบัน มีตั้งแต่รถขนาดเล็กอนุกรมเก่าแก่อย่าง เรอโนลต์ 4 และ เรอโนลต์ 5 ไปจนถึงรถยนต์นั่งระดับหรูอย่าง เรอโนลต์ 25 และรถสปอร์ทอย่าง เรอโนลต์ อัลปีน

ประวัติ รถยนตร์BMW



     บีเอ็มดับบลิว หรือที่มีชื่อเต็มในภาษาเยอรมันว่า BAUERISCHE MOTORENWERKE (บาเยริสเชโมโทเรน เวร์เค) เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ซึ่งมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ในฐานะผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันอันทรงคุณภาพและเชื่อถือได้ในความประณีตพิถีพิถัน สัญลักษณ์ของบีเอ็มดับบลิวดังที่เห็นในภาพ มีลักษณะเป็นวงแหวนสีดำพร้อมตัวอักษรบีเอ็มดับบลิว-สีขาว ล้อมรอบพื้นที่วงกลมซึ่งแบ่งออกเป็นสี่ส่วนเป็นสีขาวสองส่วนและสีฟ้าสองส่วน ที่มาของสัญลักษณ์ดังกล่าวนี้คือลักษณะการหมุนของใบพัดเครื่องบิน เนื่องจากก่อนที่จะมาเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์และจักรยานยนต์ บีเอ็มดับบลิวเคยเป็นผู้ผลิตเครื่องบินมาก่อน ส่วนสีฟ้าและสีขาวที่ใช้ ก็เป็นสีประจำแคว้นบาวาเรียอันเป็นที่ตั้งของบริษัทนั่นเอง ประวัติศาสตร์ของบีเอ็มดับบลิวเริ่มต้นในปี 1916 เมื่อวิศวกรเครื่องกลขาวเยอรมันสองคนคือ คาร์ล -แรพพ์ (CARL RAPP) และ แมกซ์ฟริซ (MAX FRIZ) ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทสร้างเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินขึ้นในเยอรมนี โดยตั้งชื่อบริษัทว่า BAYERISCHE FLUGZKUGWERKEAG อย่างไรก็ตาม เพียงสองปีหลังจากนั้นคือในปี 1918 บริษัทดังกล่าวก็เปลี่ยนชื่อกิจการเป็น BAYERISCHE MOTOREN WERKEAG อันเป็นชื่อที่ไช้ตราบจนปัจจุบัน และเป็นที่มาของชื่อย่อ BMW นั่นเอง

     กิจการของบีเอ็มดับบลิวเจริญเติบโตและขยายตัวอย่างรวดเร็ว และในช่วงสิบสองปีหลังการก่อตั้งบริษัท คือในปี 1928 วงการอุตสาหกรรมรถยนต์ก็ได้สมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งราย เมื่อบีเอ็มดับบลิวหันเหกิจการ โดยเริ่มการผลิตรถยนต์นั่งออกจำหน่ายในตลาด รถยนต์นั่งแบบเรกของบเอ็มดับบลิวมีชื่อว่า ดีซี (DIXI) หรือ บีเอ็มดับบลิว 3/15 เป็นรถแบบสองประตูหลังคาเปิดประทุน ติดตั้งเครื่องยนต์ขนาด 15 แรงม้า และนั้นคือจุดเริ่มต้นของกิจการผลิตรถยนต์ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่รู้จักกันดีทั้วโลกในช่วงหกทศวรรษต่อมา ปัจจุบันบีเอ็มดับบลิวเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มียอดขายสูงเป็นอันดับที่ 12 ของโลก ในรอบปี 1990 บีเอ็มดับบลิวผลิตรถออกสู่ตลาดรวมทั้งสิ้นประมาณ 520,000 คัน และมียอดขายรวมทั้งสิ้นประมาณ 450,000 ล้านบาท รถยนต์นั่งที่ผลิตจำหน่ายในปัจจุบัน มีอยู่เพียง 4 อนุกรม คือ อนุกรม 3-อนุกรม 5-อนุกรม 7- และ อนุกรม 8 ในปี 1990 รถที่ผลิตมากที่สุด คือ รถอนุกรม 3 (255,156 คัน) รองลงไปคือรถอนุกรม 5 (210,209 คัน )

ประวัติ รถยนต์FERRARI



     ในบรรดารถสปอร์ทพันธุ์อิตาลีที่มีอยู่มากมายหลายยี่ห้อ คงไม่มีรถสปอร์ทยี่ห้อไหนอีกแล้ว ที่จะโด่งดังและเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลก ยิ่งไปกว่ารถ เฟร์รารี เจ้าของสมญานาม “ม้าลำพองจากเมืองมาราเนลโล” (THE PRANCING HORSE FROM MARANELLO) สัญลักษณ์ของเฟร์รารี แยกออกได้เป็นสามส่วนและแต่ละส่วนมีที่มาแตกต่างกัน กล่าวคือพื้นสีเหลืองเป็นสีประจำเมืองโมเดนา (MODENA) ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งของโรงงานเฟร์รารี รูปม้ากำลังเผ่นโผนเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว ฟรานเชสโค บารัคคา (FRANCESCO BARACCA) เสืออากาศสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ส่วนแถบสีเขียว-ขาว-แดง ที่พาดอยู่ตอนบนคือสีธงชาติอิตาลี ประวัติความเป็นมาของเฟร์รารีแยกไม่ออกจากประวัติความเป็นมาของ เอนโซ เฟร์รารี (ENZO FERRARI) “ปูชนียบุคคลของวงการรถสปอร์ท และกีฬารถแข่ง” ผู้ก่อตั้งกิจการและนำเฟร์รารีไปสู่ความรุ่งโรจน์ ก่อนก่อตั้งกิจการของตนเอง เอนโซ เฟร์รารี เคยเป็นนักขับรถแข่งให้แก่ อัลฟา โรเมโอ มาก่อนในปี 1940 ขณะที่มีอายุ 42 ปี เขาลาออกและก่อตั้งกิจการขึ้นเอง มีชื่อว่า SOCIETA AUTO AVIO CONSTRUZIONI RERRARI กิจการที่ทำคือ ออกแบบและผลิตรถแข่ง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของรถสปอร์ทและทีมแข่งรถที่มีชื่อเสียงอยู่ยงคงกระพันมากว่า 4 ทศวรรษ

     กล่าวได้ว่า แทบไม่มีการแข่งรถรายการใดในยุโรปที่เฟร์รารีไม่เคยชนะ เฟร์รารีคว้าตำแหน่งแชมป์โลกผู้ผลิตมาแล้วรวม 14 ครั้ง คว้าแชมป์การแข่งเลอมังส์ 24 ชั่วโมง 9 ครั้ง ชนะเลิศการแข่งรถฟอร์มูลา- 1 ชิงแชมป์โลกรวม 103 ครั้ง ครองตำแหน่งแชมป์โลกผู้สร้างรถ 6 สมัย และครองตำแหน่งแชมป์โลกนักขับรวม 8 สมัย ในวงการแข่งรถฟอร์มูลา- 1 ชิงแชมป์โลก เฟร์รารีคือทีมที่ประสบความสำเร็จสูงสุดควบคู่กับการแข่งรถคือการผลิตรถสปอร์ทชั้นยอดเพื่อจำหน่ายให้แก่นักเลงรถยนต์ผู้มีรสนิยม โดยที่ส่วนใหญ่เฟร์รารีจะออกแบบและผลิตเครื่องยนต์ขึ้นเอง และว่าจ้างผู้ชำนาญการด้านตัวถัง เช่น ปินินฟารินา ฯลฯ เป็นผู้ออกแบบตัวถัง ในช่วง 46 ปีที่ผ่านมา คือตั้งแต่ปี 1946 จนถึงปัจจุบัน เฟร์รารีผลิตเครื่องยนต์ไปแล้วประมาณ 160 แบบ และผลิตรถสปอร์ทแบบต่างๆ ออกจำหน่ายในตลาดรวมทั้งสิ้นประมาณ 60,000 คัน รถที่ผลิตมากที่สุด คือ เฟร์รารี 328 จีทีเอส (4,979 คัน) รองลงไปคือ เฟร์รารี เตสตาโรสซา และเฟร์รารี จีทีเอส ควาตโตร วาลโวเล ปัจจุบัน เฟร์รารีมีฐานะเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในกลุ่มของเฟียตเช่นเดียวกับลันชิอา และ อัลฟา โรเมโอ กิจการของเฟร์รารีแยกออกได้เป็นสองส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนการผลิตรถตลาด และส่วนทีมแข่งรถ ทั้งสองส่วนนี้มีการบริหารแยกเป็นอิสระจากกัน ปัจจุบันเฟร์รารีผลิตรถออกจำหน่ายเพียงไม่กี่รุ่นแต่ทุกรุ่นก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นรถสปร์ทชั้นยอด สำหรับกิจกรรมการแข่งรถ เฟร์รารีกำลังอยู่ในช่วงที่ตกต่ำสุดขีดเพราะไม่เคยชนะอีกเลยนับแต่ชนะครั้งสุดท้ายเมื่อปลายปี 1990

ประวัติ รถยนต์ASTON MARTIN




     แอสตัน มาร์ติน เป็นผู้ผลิตรถสปอร์ตของอังกฤษที่มีประวัติความเป็นมายาวนานเกือบหนึ่งศตวรรษ ประวัติของผู้ผลิตรถยนต์รายนี้เริ่มต้นในปี 1913 เมื่อไลโอเนล มาร์ติน (LIONEL MARTIN) เจ้าของอู่ซ่อมรถในย่านเคนซิงตัน กรุงลอนดอน กับโรเบิร์ท แบมฟอร์ด (ROBERT BAMFORD) นักธุรกิจรายย่อยผู้สนใจในเรื่องรถยนต์ ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทขนาดเล็กขึ้นด้วยเงินทุน 1,000 ปอนด์ รถยนต์คันแรกที่บริษัทดังกล่าวผลิตได้สำเร็จ เป็นรถสปอร์ตขนาดเล็ก ใช้เครื่องยนต์โคเวนทรีไคลแมกซ์ (COVENTRY-CLIMAX) ที่โด่งดังในยุคนั้น และใช้ตัวถังของรถฮีสปาโน-ซุยซา (HISPANO-SUIZA) ในบักคิงแฮมเชอร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงลอนดอน ปรากฏว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงามชัยชนะดังกล่าว ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจผลิตรถสปอร์ตออกจำหน่ายในตลาด โดยใช้ชื่อ แอสตัน มาร์ติน(ASTON MARTIN) เป็นชื่อรถ แอสตัน มาร์ติน ประกอบธุรกิจผลิตรถยนต์ควบคู่กับการโลดแล่นในสนามแข่งขันได้เกือบ 4 ทศวรรษ แล้วก็ต้องผจญมรสุม ด้านการเงินจนมีทีท่าว่าจะเอาตัวไม่รอด

     หลังสงครามโลกครั้งที่สองคือในปี 1947 กิจการของแอสตันมาร์ตินก็ต้องอยู่ในครอบครองของเดวิด บราวน์ (DAVID BROWN) นักอุตสาหกรรมเจ้าของกิจการผลิตรถแทรคเตอร์อันเลื่องชื่อ เดวิด บราวน์ซึ่งภายหลังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น ท่านเซอร์ได้รวมกิจการของผู้ผลิตรถยนต์อีกรายหนึ่งคือ ลากอนดา (LAGONDA) และเปลี่ยนชื่อกิจการ เป็น แอสตัน มาร์ติน ลากอนดา (ASTON MARTIN LAGONDA) อันเป็นชื่อที่ใช้ตราบจนปัจจุบัน แอสตัน มาร์ตินในยุคของเซอร์เดวิด บราวน์ มีอายุเพียง 24 ปี ก็ประสบปัญหาด้านการเงินอีกครั้ง คราวนี้กิจการถูกเปลี่ยนกรรมสิทธ์มาอยู่ในความครอบครองของกลุ่มบริษัทจัดสรรและพัฒนาที่ดินในอังกฤษ ซึ่งมีเจตนารมณ์อันแรงกล้าที่จะกอบกู้ฐานะของแอสตัน มาร์ติน ลากอนดา ให้ฟื้นคืนอีกครั้งหนึ่ง แต่เจ้าของใหม่รายนี้ก็ไปไม่รอด เพราะเพียง 4 ปีหลังจากนั้น แอสตัน มาร์ติน ลากอนดา ก็ประสบภาวะล้มละลาย กิจการทั้งหมดถูกยึดเป็นสมบัติของสมาคมธนาคาร นักธุรกิจรายล่าสุดที่หาญเข้ามากอบกู้ฐานะของแอสตันมาร์ตินลากอนดาเป็นกลุ่มนักธุรกิจชาวแคนาดา ซึ่งว่าจ้างนักธุรกิจบริหารมืออาชีพผู้มีนามว่านายวิคเตอร์ กอนท์เลทท์ (VICTOR GAUNTLETT) เป็นผู้กุมบังเหียน อย่างไรก็ตาม กิจการของผู้ผลิตรถยนต์รายนี้ก็ยังลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาโดยตลอด และตั้งแต่ปี 1986 เป็นต้นมา แอสตัน มาร์ติน ลากอนดา ก็ได้กลายสภาพเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในครอบครองของฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี แห่งสหรัฐอเมริกาโดยสมบูรณ์

ประวัติ รถยนต์LAMBORGHINE




     ลัมโปร์กินี เป็นชื่อของรถสปอร์ทที่ปรากฎตัวออกสู่สายตาโลกเมื่อประมาณสามทศวรรษที่ผ่านมานี้เอง แต่ชื่อเสียงและกิตติคุณของรถสปอร์ทพันธ์อิตาลียี่ห้อนี้ กลับโด่งดังไม่แพ้รถสปอร์ทเก่าแก่อย่าง อัลฟา-โรเมโอ เฟร์รารี หรือ มาเซราตีนั่นเลย สัญลักษณ์ของ ลัมโบร์กินี เป็นรูปวัวกระทิง บรรจุอยู่ในโล่ โดยมีแถบชื่อ LAMBORGHINI พาดทับอยู่ด้านบน การที่ลัมโบร์กินีใช้รูปวัวกระทิงเป็นสัญสักษณ์ก็เนื่องจากสัตว์ชนิดนี้เป็นสัญลักษณ์ปีเกิดของผู้ก่อตั้งกิจการนั่นเอง เฟร์รุชชิโอ สัมโบร์กินี (FERRUCCIO LAMBORGHINE) ชาวอิตาลีผู้ก่อร่างสร้างตัวจากเงินในกระเป๋าไม่กี่หมื่นลีร์ จนกลายเป็นนักธุรกิจระดับ “มัลติมิลเลียนแนร์” ผู้มีกิจการใหญ่โตในวงการอุต-สาหกรรมรถแทรคเตอร์และเครื่องปรับอากาศของเมืองมะกะโลนี ได้ควักเงินทุนก้อนหนึ่งก่อตั้งบริษัท ออโตโมบิลี เฟร์รุชชิโอ ลัมโบร์กินี เอศพีเอ (AUTOMOBILI FERRUCCIO LAMBORGHINI S.p.A.) ขึ้นเมื่อปี 1962 โดยที่จุดมุ่งหมายของบริษัทเกิดใหม่นี้ก็คือ ผลิตรถสปอร์ทชั้นยอดออกขายแข่งกับยักษ์ใหญ่อย่างเฟร์รารี ที่เฟร์รุชชิโอ ลัมโบร์กินีเคยเป็นลูกค้ามาก่อน เล่าขานสืบต่อกันมาว่า มูลเหตุที่ทำให้ มร.ลัมโบร์กินี คิดจะผลิตรถขึ้นเองก็เพราะไม่พอใจในบริการที่ได้รับจากเฟร์ารรีนั่นเอง และข้อได้เปรียบของลัมโบร์กินีก็คือ ก่อนที่จะหันมาเอาดีกับการผลิตรถสปอร์ทระดับ”ซูเพอร์คาร์” ลัมโบร์กินีมีโรงงานผลิตรถแทรคเตอร์อยู่แล้ว

     ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ อาจต้องใช้เวลาแรมปีในการสร้างสมเกียรติยศชื่อเสียง แต่สำหรับลัมโบร์กินีที่เริ่มต้นกิจการด้วยคำขวัญ “มาหาลัมโบร์กินี ถ้าต้องการรถที่ดีที่สุดในโลก” ความสำเร็จเกิดขึ้นในเวลาชั่วคืน รถสปอร์ทแทบทุกรุ่นที่ลัมโบร์กินีผลิตออกสู่ตลาด ได้รับความนิยมจากนักเลงรถสปอร์ท “รายได้สูง รสนิยมสูง” จนผลิตขายแทบไม่ทัน โดยเฉพาะรถ ลัมโบร์กินี มีอูรา (LAMBORGHINI MIURA) ซึ่งปรากฎตัวเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมรถยนต์ตูรินเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1965 และออกจำหน่ายสองปีหลังจากนั้น นับเป็นรถที่สร้างชื่อเสียงเกียรติคุณให้แก่ผู้ผลิตรถสปอร์ทรายนี้ยิ่งกว่ารถรุ่นอื่น ๆ ลัมโบร์กินีใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็สามารถก้าวขึ้นมาเทียมบ่าเทียมไหล่กับเจ้ายุทธจักรรถสปอร์ท อย่างเฟร์รารีได้สำเร็จ ในเดือนมิถุนายน 1981 ลัมโบร์กินีเปลี่ยนชื่อกิจการเป็นชื่อที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน คือ นูโอวา ออโตโมบิสี เฟร์รุขขิโอ ลัมโบร์กินี เอสพีเอ (NUOVA AUTOMOBILI FERRUCCIO LAMBORGHINI S.p.A.)

     ปัญหาด้านการเงินบีบบังคับให้ผู้ผลิตรถสปอร์รายนี้ต้องเปลี่ยนมือเจ้าของกิจการหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายคื่อในปี 1987 ลัมโบร์กินีก็มีสภาพเป็นปลาเล็กที่ถูกกลืนกินโดยปาใหญ่ โดยยอมขายกิจการทั้งหมดให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา คือ ไครสเลอร์ คอร์พอเรชัน ในรอบสามทศวรรษที่ผ่านมาลัมโบร์กินีผลิตรถสปอร์ทออกจำหน่ายในตลาดรวมทั้งสิ้น 13 รุ่น รุ่นที่ผลิตมากที่สุด คือ ลัมโบร์กินี คูนทาช (LAMBORGHINI COUNTACH) รถสปอร์ทระดับ “ซูเปอร์คาร์” ที่นักเลงรถทั่วโลกรู้จักกันดี ปัจจุบัน ลัมโบร์กินีมีกำลังผลิตประมาณ 400 คันต่อปี รถที่ผลิตจำหน่ายในขณะนี้มีอยุ่เพียงรุ่นเดียว คือ ลัมโบร์กินี ดิอาบโล (LAMBORGHINI BIABLO) ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดารถตลาดที่เร็วที่สุดในปัจจุบันเพราะสามารถวิ่งได้เร็วกว่า 325 กม./ชม.นั้นเทียว

ประวัติ รถยนต์LOTUS




     โลทัส เป็นชื่อของรถสปอร์ทพันธุ์อังกฤษที่นักเลงทั่วโลกรู้จักกันดี สัญลักษณ์ของรถยี่ห้อนี้ เปลี่ยนแปลงมาแล้วหลายครั้งสัญลักษณ์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันคือ อักษร C ตัวใหญ่ที่ปรากฎในสัญลักษณ์ดังกล่าว เป็นอักษรตัวแรกของชื่อ COLIN SHAPMAN ผู้ก่อตั้งกิจการ ส่วนอักษร B อักษร C และอักษร A ตัวเล็ก ย่อมาจาก BRITISH CAR AUCTIONS ซึ่งเคยเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายนี้ โคลิน แชพแมน (COLIN SHAPMAN) ผู้ก่อตั้งโลทัส นับเป็นบุคคลระดับ “อัจฉริยะ” เขาเกิดเมื่อปี 1928 ที่เมืองริชมอนด์ ในประเทศอังกฤษ และได้รับปริญญาวิศวกรรมโครงสร้างจากมหาวิทยาลัยลอนดอนเมื่อมีอายุเพียง 20 ปี แต่แทนที่จะประกอบอาชีพเป็นวิศวกรโครงสร้างตามที่ร่ำเรียนมา แชพแมนผู้หลงใหลใฝ่ฝันเรื่องของรถยนต์และกีฬาแข่งรถมาแต่เด็ก กลับก่อตั้งบริษัท โลทัส เอนจิเนียริง (LOTUS ENGINEERING CO.) ขึ้นเมื่อปี 1952 แล้วออกแบบและสร้างรถแข่งและสปอร์ทออกจำหน่าย โดยสั่งซื้ออุปกรณ์และชิ้นส่วนจากผู้ผลิตรายอื่น ๆ มาดัดแปลงและประกอบเป็นคันรถ

     กิจการของโลทัสก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ควบคู่กับความสำเร็จในสนามแข่งรถ จนกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ใครก็ตามที่รู้จักกีฬาแข่งรถ ย่อมรู้จักชื่อโลทัสและโคลิน แชพแมน ความสำเร็จของรถโลทัสในสนามแข่งรถทั้งระดับชาติและระดับโลก ยากที่จะหาใครเทียมทันเฉพาะการแข่งรถฟอร์มูลา 1 ชิงแชมป์โลกอันกระเดื่องเกียรติรถโลทัสคว้าตำแหน่งชนะเสิศมาแล้วรวม 79 ครั้ง กับสามารถคว้าตำแหน่งแชมป์โลกผู้สร้างรถถึง 7 ครั้ง และตำแหน่งแชมป็โลกนักขับอีก 6 ครั้ง โคลิน แชพแมนถึงแก่กรรมด้วยโรคหัวใจเมื่อเดือนธันวาคม 1982 ในขณะที่โลทัสกำลังประสบปัญหาด้านการเงินมรณกรรมของเขาส่งผลเป็นอย่างมากต่อฐานะของบริษัท และเพียง 3 ปี หลังจากนั้นกิจการผลิตรถยนต์ของโลทัสก็ถูกเทคโอเวอร์โดยบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ-อเมริกา คือ เจเนอรัล มอเตอร์ส คอร์พอเรชัน แต่กิจการของทีมแข่งรถยังคงเป็นสมบัติของครอบครัวแชพแมนตราบจนปัจจุบัน รถโลทัสในตลาดรถยนต์ปัจจุบัน มีอยู่เพียง 3 อนุกรม คือ โลทัส อีแลน (LOTUS ELAN) โล-ทัสเอกเซล (LOTUS EXCEL) และโลทัสเอสปรัต์ (LOTUS ESPRIT)

ประวัติ รถยนต์ALFA ROMEO


     ในอิตาลีมีผู้ผลิตรถยนต์รายสำคัญๆ อยู่รวม 7 ราย คือ อัลฟา โรเมโอ ( ALFE ROMEO ) เฟร์รารี ( FERRARI ) เฟียต ( FIAT ) ลัมโบร์กินี ( LAMBORGHINI ) ลันชิอา (LANCIA ) มาเซราตี( MASERATI ) และ เด โตมาโช ( DE TOMASOI ) สัญญาลักษณ์ที่พบเห็นได้บนแผงกระจังหน้าของรถอัลฟา โรเมโอ ทุกคันเป็นสัญญาลักษณ์เก่าแก่ที่ใช้ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ปี 1910 โดยดัดแปลงเพียงเล็กน้อยจากแบบดั้งเดิม ที่มาของสัญญาลักษณ์นี้คือตราประจำตระกูลวิสคอนติ ( VISCONTI ) ซึ่งเป็นตระกูลเก่าแก่ของเมืองมิลานอันเป็นที่ตั้งโรงงานของอัลฟา โรเมโอ โดยที่รูปมังกรสีเขียวกำลังกลืนกินเด็กสีแดงทางด้านขวามือ หมายถึงมังกรร้ายที่เชื่อกันว่าถูกสังหารโดยบรรพบุรุษของตระกูลในสมัยคริสต์ตวรรษที่ห้า ส่วนกางเขนสีแดงบนพื้นสีขาวด้านซ้ายมือ เป็นสัญญาลักษณ์การเข้าร่วมสงครามครูเสด ( CRUSADE ) ของตระกูลวิสคอนติ อัลฟา โรเมโอ นับเป็นบริษัท ที่ผลิตรถยนต์รายเก่าแก่ของอิตาลี เพราะเริ่มการผลิตรถยนต์มาตั้งแต่ปี 1910 ในระยะเริ่มแรกผู้ผลิตรถยนต์รายนี้ผลิตรถยนต์จำหน่ายในชื่อ ALFA ซึ่งเป็นอักษรย่อของบริษัทชื่อ SOCIETE ANONLMA LOMBARDA FABBRICA AUTOMOBILI ( ตรงกับ LOMBARDY MOTOR MANUFACTURING CO.ในอังกฤษ )


     จนกระทั่งปี1915 เมื่อเจ้าของเดิมขายกิจการให้แก่นักอุสาหกรรมผู้มีนามว่า นิโคลา โรเมโอ (NICOLA ROMEO ) ชื่อบริษัท จึงเปลี่ยนเป็น SOCIETE ANONLMA ING.NICOLA ROMEO CO. และชื่อรถที่ผลิตออกจำหน่ายเป็น ALFA ROMEO นับแต่นั้นมา อัลฟา โรเมโอ เป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากแก่กีฬีาแข่งรถ และความสำเร็จในวงการแข่งนี่เองที่ทำให้ ชื่ออัลฟา โรเมโอ ขจรขจายไปทั่งโลก อาจกล่าวได้ว่าไม่มีการแข่งรถประเภทใดในทวีปยุโรปที่รถอัลฟา โรเมโอ ไม่เคยชนะ ในช่วงทศวรรษหลังปี 1930 อัลฟา โรเมโอ ประสบปัญหาขาดเงินหมุนเวียนถึงขนาดต้องขายกิจการทั้งหมดให้แก่รัฐบาลอิตาลี ในปี 1933 อย่างไรก็ตาม หลังจากดำรงฐานะเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในความควบคุมของรัฐบาลอิตาลีอยู่ถึงห้าทศวรรษ ในปี 1986 อัลฟา โรเมโอ ก็เปลี่ยนสภาพเป็นบริษัทรถยนต์ของเอกชนอีกครั้งหนึ่งเมื่อรัฐบาลอิตาลีตัดสินใจขายกิจการทั้งหมดให้แก่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่อีกรายหนึ่งคือ เฟียต ( FIAT ) ปัจจุบัน อัลฟา โรเมโอ จึงมีฐานะป็นผู้ผลิตรถยนต์ในเครือข่ายของฟียต ซึ่งกลุ่มบริษัทรายใหญ่ที่สุดของอิตาลี โรงงานผลิตรถ อัลฟา โรเมโอในอิตาลี มีอยู่ 2 แห่งในเมืองมิลานในภาคเหนือ และที่เมืองเนเบิลในภาคใต้ ในรอบปี 1991 อัลฟา โรเมโอ ผลิตรถยนต์นั่งออกจำหน่ายรวมทั้งสิ้นประมาณ 230,000 คัน รถที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ อัลฟา 33 และ อัลฟา สปอร์ท แวกอน รองไปคือ อัลฟา 75 และ อัลฟา 164 ส่วนรถแบบใหม่ล่าสุดเพิ่งออกตลาดเมื่อต้นปีนี้ คือ รถอัลฟา 155